Healthty.in.TH

รักสุขภาพให้ออกกำลังกาย แต่ถ้ารักมากมายให้แม่มาขอ

สุขภาพ

คางทูม เกิดจากอะไร อาการและวิธีการรักษาที่ต้องรู้

คางทูม เกิดจากอะไร อาการและวิธีการรักษาที่ต้องรู้

คางทูม ถือเป็นโรคติดต่อทางระบบหายใจ และสามารถติดต่อได้จากคนสู่คน ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสละอองน้ำลาย การไอจาม และอื่นๆ อีกมากมายที่จะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ถือว่าเป็นอันตรายถ้าไวรัสได้กระจายไปยังส่วนต่างๆ ตามร่างกาย อาจจะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาในภายหลังก็เป็นได้ ดังนั้นวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับคางทูม ว่าเกิดจากอะไร มีอาการแบบไหน รวมไปถึงวิธีการรักษาที่ต้องรู้ เพื่อป้องกันและลดโอกาสที่จะเป็นคางทูม ถ้าพร้อมแล้วไปติดตามกันได้เลย

สาเหตุคางทูม

คางทูม เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส  มัมส์ (Mumps) เป็นไวรัสที่อยู่ในอากาศ และสามารถแพร่เชื้อได้ในละอองน้ำลาย การไอ การจาม เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจที่เฉียบพลัน และเคลื่อนตัวมาที่ต่อมน้ำลายข้างหูไม่ข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ซึ่งถ้าต่อมน้ำลายเกิดการอักเสบจะทำให้มีอาการที่เจ็บปวด และบวมแดงได้ นอกจากนี้ถ้าไวรัสมีการแพร่เชื้อไปตามร่างกายๆ จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบสืบพันธุ์ได้เช่นเดียวกัน  และคางทูมที่เป็นทั่วไปจะพบมากที่สุดในเด็กที่อายุประมาณ 6-10 ปี และสามารถพบได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย หรือผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน

อาการของโรคคางทูม

อาการของของคางทูมซึ่งคนที่ป่วย จะมีอาการหลายอย่างๆ ที่สามารถสังเกตได้ เพราะตรงต่อมน้ำลายบริเวณข้างหูจะปวดและบวมแดง อย่างเห็นได้ชัด นอกนั้นยังมีอาการต่างๆ ร่วมด้วยดังนี้

  • มีไข้สูงถึง 38 องศาเซลเซียส ในบางรายอาจจะมีไข้สูงกว่านั้น
  • มีอาการปากแห้ง
  • เบื่ออาหารไม่อยากกินอะไรเลย
  • มีอาการปวดศีรษะ
  • ปวดตามข้อไม้ ข้อมือ และส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อที่บริเวณต่างๆ ของร่างกาย
  • มีอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ไม่มีแรง

ซึ่งอาการของโรคคางทูมที่กล่าวไปข้างต้นเป็นอาการที่เกิดหลังจาก การได้รับเชื้อและอาการจะปรากฎใน 14-18 วัน แต่จะอยู่ในช่วง 12-25 วัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะบางรายอาจะมีระยะฟักไข่ถึง 25 วันด้วยกัน

วิธีการรักษา

การรักษาโรคคางทูมในปัจจุบัน ยังไม่มีการรักษาที่เป็นทางการ และไม่มียาที่จะรักษาโดยเฉพาะ แต่ก็สามารถรักษาตามอาการ เพื่อจะช่วยเบาเทาอาการปวด บวมแดง รวมไปถึงการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง จะได้มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีมากยิ่งขึ้น เมื่อร่างกายดี โรคก็จะไม่ตามมา ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ น้ำถือเป็นสิ่งสำคัญที่ร่างกายต้องการ เพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีต้องเริ่มต้นจากการ ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ เพื่อน้ำจะได้ไปช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้มีการพักผ่อนที่เพียงพอ และจะช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายทำงานได้อย่างปกติ
  • รับประทานยาลดไข้ เพราะโรคคางทูมนั้นจะมีไข้สูงถึง 38 องศาเซลเซียสหรือมากกว่านั้น เพื่อไม่ให้มีขั้นสูงเกินไปต้องรับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล ที่สำคัญห้ามใช้ยาแอสไพรินกับเด็กหรือผู้ที่ป่วยเป็นคางทูมน้อยกว่า 20 ปี เพราะจะทำให้เกิดอาการสมองบวม รวมไปถึงการชัก จนหมดสติ ถือเป็นข้อห้ามที่ควรระวังเป็นอย่างมาก
  • หลีกเลี่ยงอาหาร หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวมากๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำส้ม น้ำมะนาว เพราะในน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจะมีกรดที่จะทำให้ต่อมน้ำลายข้างหู เกิดการระคายเคือง และส่งผลให้ต่อมน้ำลายข้างหูเกิดอาการปวด และบวมมากขึ้นก็เป็นได้
  • สามารถประคบร้อน หรือประคบเย็น ตรงต่อมน้ำลายข้างหู เพราะจะช่วยลดอาการปวด และอาการบวมได้
  • ในระหว่างที่เป็นคางทูมนั้นควรรับประทานอาหารอ่อนๆ หรืออาหารเหลวๆ อย่างเช่น ข้าวต้ม โจ๊ก เป็นต้น เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้ไม่ต้องเคี้ยวมากๆ เพราะการเคี้ยวและกระแทกตรงที่บวมอาจจะทำให้ต่อมน้ำลายบวมมากยิ่งขึ้นไปอีก

วิธีการป้องกัน

วิธีการป้องกันสามารถทำได้ด้วยการฉีดวัคซีน เพื่อที่วัคซีนจะช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกัน หรือวิธีที่จะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคดังนี้

  • ให้เด็กๆ ล้างมือให้สะอาด ด้วยการฟอกสบู่ ถือเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย และได้ผล เพราะมือของเด็กๆ ในแต่ละวันมีการสัมผัสในที่ต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น ลูกบิด หรือสิ่งของต่างๆ ดังนั้นการล้างมือจึงเป็นวิธีที่ล้างเชื้อโรคที่ติดมาง่ายที่สุด
  • ใช้ทิชชูปิดปากเวลาไอ หรือ จาม และต้องทิ้งลงขยะให้เรียบร้อย เพื่อป้องการติดโรคคางทูมจากผู้อื่นสู่เรา และจากเราสู่ผู้อื่น
  • เมื่อเห็นว่าเด็กๆ มีอาการของคางทูม ควรให้อยู่บ้านพักผ่อน และไม่ควรนำเด็กๆ ไปในที่สาธารณะ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

จากข้อมูลข้างต้น หลายๆ คนคงทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าโรคคางทูมนั้น มีสาเหตุเกิดจากอะไร รวมไปถึงการรับมือสิ่งต่างๆ ในการเกิดโรคคางทูม สำหรับครอบครัวไหนที่มีลูกๆ เป็นโรคนี้กันอยู่สามารถศึกษาข้อมูลดังกล่าวกันได้เลย เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย สุดท้ายนี้ขอให้ดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาภายหลัง

Share this post

About the author